คอร์สเรียน Forex เบื้องต้น: ปูพื้นฐานสู่โลกการเทรด
โครงสร้างหัวข้อ
-
-
Forex คืออะไร
"Forex" หรือ FX ย่อมาจากคำว่า "Foreign Exchange Market" คือตลาดที่ทำการซื้อขายสกุลเงินของประเทศต่างๆ กัน นึกถึงมันเหมือนตลาดที่คุณสามารถแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินดอลลาร์, ยูโร, หรือสกุลเงินอื่นๆ ได้ แต่ที่พิเศษคือมันเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่และเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นวันหยุดสุดสัปดาห์
ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีปริมาณการซื้อขาย 245,000,000 ล้านบาทต่อวัน หรือใหญ่กว่าตลาดหุ้นอันดับ 1 ของโลกถึง 300 เท่า
ในตลาด Forex, ราคาของสกุลเงินจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามปัจจัยต่างๆ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจ, นโยบายของธนาคารกลาง, หรือเหตุการณ์ทางการเมือง
จริงๆแล้ว ตลาด Forex ไม่ใช่เรื่องไกลตัว การที่เราไปแลกเงินไปเที่ยวต่างประเทศ ตอนนั้นแหละ เรากำลังซื้อขายในตลาด Forex
การซื้อขาย FOREX สามารถแบ่งออกเป็น 3 วัตถุประสงค์
- เพื่อการใช้งาน เช่น แลกเพื่อนำไปทำธุรกรรมทางการเงิน หรือลงทุนในต่างประเทศ หรือแม้แต่การที่เราแลกเงิน เพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ หรือซื้อของออนไลน์จากต่างประเทศ ก็เท่ากับว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของตลาด FOREX แล้ว
- เพื่อการป้องกันความเสี่ยง หรือ Hedging เช่น กองทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ จะทำสัญญาซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันความผันผวนของค่าเงิน และอาจมีผลต่อ Performance ของกองทุน
สำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกหรือนำเข้า ก็สามารถ Hedge ค่าเงินได้เช่นกัน เพื่อไม่ให้ความผันผวนของค่าเงิน มากัดกินกำไรที่ได้จากการทำธุรกิจ - เพื่อการเก็งกำไร สำหรับนักลงทุนกลุ่มนี้ จริง ๆ แล้วไม่ได้ต้องการนำสกุลเงินต่างประเทศไปใช้ทำอะไร แต่จะหาโอกาสทำกำไรจากความผันผวนของค่าเงินในแต่ละสกุล และ ข้อนี้แหละ ที่เรามาจะเรียนรู้กัน
กำไรจากตลาด Forex จะต่างกับตลาดหุ้น เพราะ ในตลาดหุ้น เราจะได้กำไร ก็ต่อเมื่อ ราคาหุ้นขึ้น หรือมีปันผล
ส่วนตลาด Forex เราจะได้กำไรจากการเปิด / ปิด สถานะ Long หรือ Short จากส่วนต่างราคาของคู่เงิน พูดให้เข้าใจ ง่ายๆ ก็คือการเก็งกำไร จากส่วนต่างราคาของคู่เงินนั้นเอง
เรามาทำความเข้าใจ คู่เงินกัน
-
คู่สกุลเงินหลัก: เสาหลักของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
คู่สกุลเงินหลัก หรือ Major Currency Pairs ถือเป็นหัวใจสำคัญของตลาดนี้ โดยเป็นคู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดและมีสภาพคล่องสูงสุด ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและการตัดสินใจลงทุนของผู้คนทั่วโลก โดยทั่วไป คู่สกุลเงินหลักจะมีดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในสกุลเงิน เนื่องจากดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นสกุลเงินสำรองระหว่างประเทศที่สำคัญที่สุด
คู่สกุลเงินหลักที่สำคัญ
คู่สกุลเงินหลักที่ได้รับความนิยมและมีการซื้อขายมากที่สุด ได้แก่:
- EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐฯ): คู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลก เป็นตัวแทนของสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐฯ/เยนญี่ปุ่น): คู่สกุลเงินที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น
- GBP/USD (ปอนด์สเตอร์ลิง/ดอลลาร์สหรัฐฯ): คู่สกุลเงินที่สำคัญอีกคู่หนึ่ง แสดงถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐฯ
- USD/CHF (ดอลลาร์สหรัฐฯ/ฟรังก์สวิส): คู่สกุลเงินที่มักถูกมองว่าเป็น “สวรรค์ปลอดภัย” เนื่องจากความมั่นคงของเศรษฐกิจสวิส
- AUD/USD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์สหรัฐฯ): คู่สกุลเงินที่ได้รับอิทธิพลจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่
- USD/CAD (ดอลลาร์สหรัฐฯ/ดอลลาร์แคนาดา): คู่สกุลเงินที่ได้รับอิทธิพลจากราคาพลังงาน เนื่องจากแคนาดาเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่
-
การอ่านคู่เงิน (Currency Pair)
ตัวอย่าง วิธีอ่านคู่เงิน EURUSD
ในกระดานแสดงคู่เงิน จะประกอบไปด้วย 3 ส่วน ได้แก่- Symbol (คู่เงิน)
- Bid (ราคาซื้อ)
- Ask (ราคาขาย)
ตามตัวอย่าง คู่เงิน EURUSD เป็นการเปรียบเทียบผลต่างของค่าเงินยูโร (EUR) และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) นั่นเองโดยมีสกุลเงินตัวแรก ซึ่งก็คือ EUR เป็นค่าเงินพื้นฐาน (Base currency) และตัวที่สอง ซึ่งก็คือ USD เป็นค่าเงินอ้างอิง (Quote currency)
วิธีอ่านค่าคู่เงิน ตัวอย่างข้างต้น
1 ยูโรแลกเงินดอลลาร์สหรัฐได้ 1.08900 เหรียญ
ราคาซื้อ และ ราคาขาย หมายความว่า
- ถ้าต้องการซื้อ 1 ยูโร ต้องใช้ 1.08950 เหรียญ (ใช้ราคา Ask / ตลาดขายราคานี้)
- ถ้านำเงิน 1 ยูโร มาขาย จะได้รับ 1.8900 เหรียญ (ใช้ราคา Bid / ตลาดรับซื้อราคานี้)
เทคนิคจำง่าย ๆ ก็คือ สกุลเงินด้านหน้าเอาไว้เปรียบเทียบ จะมีค่าเท่า 1 เสมอ จำแค่ว่า "ซื้อ A ขาย B" หมายถึง ซื้อใช้ราคา Ask ขายใช้ ราคา Bid
ตัวอย่างเหตุการณ์ ที่มาของกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
สมมุติว่า วันที่ 1 เราซื้อเงิน ยูโร จำนวน 10,000
ที่อัตราแลกเปลี่ยน EURUSD = 1.08900
เป็นเงินจำนวน 10,890 USD (10,000 x 1.08900)10 วันต่อมา เราเอาเงิน 10,000 ยูโร มาขาย
ที่อัตราแลกเปลี่ยน EURUSD = 1.10000
เราจะได้รับเงิน 11,000 USD (10,000 x 1.10000)จากเหตุการณ์ข้างต้น เราจะได้กำไร จากอัตราแลกเปลี่ยน
110 USD (10,890 - 11,000)
หมายเหตุ: นี้เป็นเพียงตัวอย่างเหตุการณ์ เพื่ออธิบายให้คุณเข้าใจหลักการที่มาของกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเท่านั้น ไม่ใช่วิธีการเทรด forex
การลงทุนในตลาด Forex สามารถทำกำไรได้ ทั้งช่วงขาขึ้น และขาลง
- โดยเปิดสถานะซื้อ (Long / Buy) หากคาดการณ์ว่าราคาจะสูงขึ้น
- เปิดสถานะขาย (Short / Sell ) หากคาดว่าราคาจะลด
-
โบรกเกอร์ Forex
-
การเปิดบัญชีเทรด Forex
-
แพลตฟอร์มเทรด (MT4, MT5)
-
-
-
-
ตลาด Forex เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีความผันผวนมาก ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ ปัจจัยเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
1. ปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ปัจจัยทางเศรษฐกิจมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอย่างมาก ซึ่งปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่- อัตราดอกเบี้ย เมื่อธนาคารกลางปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของผู้ประกอบการสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรของบริษัทลดลง และราคาหุ้นก็จะลดลงตามไปด้วย ในทางกลับกัน เมื่อธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของผู้ประกอบการลดลง ส่งผลให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น และราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- อัตราเงินเฟ้อ เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น จะทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทสูงขึ้น ทำให้กำไรของบริษัทลดลง และราคาหุ้นก็จะลดลงตามไปด้วย ในทางกลับกัน เมื่อเงินเฟ้อต่ำ หรือภาวะเงินฝืด จะทำให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทต่ำลง ทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น และราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- อัตราการว่างงาน เมื่ออัตราการว่างงานสูงขึ้น จะหมายความว่ามีคนตกงานมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และทำให้บริษัทต่างๆ มีกำไรลดลง ราคาหุ้นก็จะลดลงตามไปด้วย ในทางกลับกัน เมื่ออัตราการว่างงานต่ำลง จะหมายความว่ามีคนตกงานน้อยลง ซึ่งจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และทำให้บริษัทต่างๆ มีกำไรมากขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- ผลประกอบการของบริษัท ผลประกอบการของบริษัทมีผลโดยตรงต่อราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆ เมื่อบริษัทมีผลประกอบการดี กำไรสูง ราคาหุ้นก็จะสูงขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อบริษัทมีผลประกอบการไม่ดี ขาดทุน ราคาหุ้นก็จะลดลง
2. ปัจจัยทางการเมือง
ปัจจัยทางการเมืองก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอย่างมาก โดยปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่- นโยบายของรัฐบาล นโยบายของรัฐบาลต่างๆ เช่น นโยบายการคลัง นโยบายการเงิน นโยบายการค้า ฯลฯ ล้วนมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น เช่น นโยบายการคลังที่กระตุ้นเศรษฐกิจ จะทำให้กำไรของบริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้น และราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- การเลือกตั้ง การเลือกตั้งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งทั่วไป การเลือกตั้งประธานาธิบดี การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา ฯลฯ ล้วนมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่าพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งจะเป็นรัฐบาลที่มีนโยบายเป็นอย่างไร
3. ปัจจัยทางสังคม
ปัจจัยทางสังคมก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอย่างมาก โดยปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่- กระแสแฟชั่น กระแสแฟชั่นต่างๆ เช่น แฟชั่นการแต่งตัว แฟชั่นการบริโภค ฯลฯ ล้วนมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น เช่น เมื่อมีกระแสแฟชั่นการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนม ก็จะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทที่ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์เนมเพิ่มขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ เช่น การพัฒนาของคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย ฯลฯ ล้วนมีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น เช่น เมื่อมีการพัฒนาของอินเทอร์เน็ต ก็จะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น
4. ปัจจัยทางจิตวิทยา
ปัจจัยทางจิตวิทยาก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นอย่างมาก โดยปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่- ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนมีผลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น เมื่อนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ก็จะทำให้พวกเขาซื้อหุ้นมากขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นสูงขึ้น ในทางกลับกัน เมื่อนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ก็จะทำให้พวกเขาขายหุ้นออกไปมากขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นต่ำลง
- ความกลัวของนักลงทุน ความกลัวของนักลงทุนก็มีผลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น เมื่อนักลงทุนกลัวว่าราคาหุ้นจะตก ก็จะทำให้พวกเขาขายหุ้นออกไปมากขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นต่ำลง ในทางกลับกัน เมื่อนักลงทุนไม่กลัวว่าราคาหุ้นจะตก ก็จะทำให้พวกเขาซื้อหุ้นมากขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นสูงขึ้น
- ความโลภของนักลงทุน ความโลภของนักลงทุนก็มีผลอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น เมื่อนักลงทุนโลภต้องการกำไรมากเกินไป ก็จะทำให้พวกเขาซื้อหุ้นมากเกินไป ส่งผลให้ราคาหุ้นสูงเกินไป ในทางกลับกัน เมื่อนักลงทุนไม่โลภ ไม่ต้องการกำไรมากเกินไป ก็จะทำให้พวกเขาซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสม ส่งผลให้ราคาหุ้นไม่สูงเกินไป
-
-
-
ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ตลาด Forex ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในตลาด Forex นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและข้อควรระวังต่างๆ อย่างละเอียดเสียก่อน
1. ความผันผวนของราคา
ราคาในตลาด Forex มีความผันผวนสูงมากในแต่ละวัน โดยอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ถึงหลักหลายเปอร์เซ็นต์ในเวลาเพียงไม่กี่นาที ความผันผวนของราคานี้อาจเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย เช่น ข่าวเศรษฐกิจ สถานการณ์ทางการเมือง หรือภัยพิบัติธรรมชาติ หากนักลงทุนไม่เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนของราคา อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนได้อย่างรวดเร็ว2. เลเวอเรจ
เลเวอเรจเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเพิ่มผลกำไรโดยการใช้เงินลงทุนจำนวนน้อย อย่างไรก็ตาม เลเวอเรจก็เป็นดาบสองคมที่อาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน หากนักลงทุนใช้เลเวอเรจสูงเกินไปและราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว3. สภาพคล่อง
สภาพคล่องของตลาด Forex นั้นสูงมาก โดยมีผู้เข้าร่วมซื้อขายจากทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในบางช่วงเวลาเช่นช่วงวันหยุด ตลาดอาจมีความสภาพคล่องต่ำลง ซึ่งอาจทำให้การซื้อขายยากขึ้นและอาจทำให้เกิดการลื่นไถลของราคาได้4. โบรกเกอร์ Forex
มีโบรกเกอร์ Forex มากมายให้บริการในตลาด โดยแต่ละโบรกเกอร์จะมีเงื่อนไขการซื้อขายที่แตกต่างกันไป นักลงทุนควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีประสบการณ์ และมีการกำกับดูแลจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้5. การหลอกลวง
มีการหลอกลวงมากมายในตลาด Forex โดยมิจฉาชีพอาจใช้กลวิธีต่างๆ เพื่อหลอกลวงเงินจากนักลงทุน เช่น ชักชวนให้นักลงทุนลงทุนในกลยุทธ์การซื้อขายที่ไม่มีอยู่จริง หรือหลอกลวงให้นักลงทุนเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่ไม่น่าเชื่อถือ นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและตรวจสอบโบรกเกอร์ให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน6. การจัดการความเสี่ยง
การจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญมากในตลาด Forex นักลงทุนควรมีกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจนและปฏิบัติตามกลยุทธ์นั้นอย่างเคร่งครัด กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงอาจรวมถึงการกำหนดจุดตัดขาดทุน การใช้คำสั่ง Stop Loss และการกระจายการลงทุน
-
-
-
- Bid: ราคาที่พ่อค้าพร้อมจะซื้อสกุลเงิน
- Ask: ราคาที่พ่อค้าพร้อมจะขายสกุลเงิน
- Spread: ความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย
- Pip: การเปลี่ยนแปลงในจุดทศนิยมที่เล็กที่สุดของอัตราแลกเปลี่ยน
- Leverage: การใช้เงินที่ยืมมาเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน
- Margin: เงินที่เทรดเดอร์ต้องรักษาไว้เพื่อเปิดและรักษาตำแหน่ง
- Stop Loss: คำสั่งที่วางไว้เพื่อปิดตำแหน่งโดยอัตโนมัติเมื่อถึงระดับราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
- Take Profit: คำสั่งที่วางไว้เพื่อปิดตำแหน่งโดยอัตโนมัติเมื่อถึงระดับราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
- Hedging: กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา
- Scalping: กลยุทธ์การซื้อขายระยะสั้นที่ใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาเล็กน้อย
- Day Trading: กลยุทธ์การซื้อขายที่เปิดและปิดตำแหน่งภายในวันเดียว
- Swing Trading: กลยุทธ์การซื้อขายที่ถือตำแหน่งไว้เป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์
- Position Trading: กลยุทธ์การซื้อขายที่ถือตำแหน่งไว้เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี
- Fundamental Analysis: การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศเพื่อทำนายทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยน
- Technical Analysis: การวิเคราะห์ข้อมูลราคาในอดีตเพื่อทำนายทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยน
- Candlestick Chart: กราฟแท่งเทียนที่ใช้แสดงการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด
-